หัวข้อธรรมประเภทนี้ มีไว้สำหรับใช้เพ่ง
เพื่อให้เห็น ข้อเท็จจริงแห่งข้อความนั้น
แล้วเพ่งต่อไป เพื่อให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้น ขึ้นมาจริงๆ
จนจิตใจเปลี่ยนไป ตามข้อเท็จจริงนั้น
ในการที่จะทำให้เกิด ความสลดสังเวช ความไม่ประมาท
การเปลี่ยนนิสัยที่ไม่พึงปราถนา
กวาดล้า่งความรู้สึก ที่ทำความรำคาญให้แก่ตน ให้หมดไปจากจิตใจ
เพื่อให้เกิดความสะอาด ความสว่างและความสงบ
โดยสมควรแก่การกระทำของตน
ความรู้ความเข้าใจ ที่เกิดจากการเพ่งทำนองนี้ จะถูกต้อง
และมีประโยชน์กว่าที่เกิดจากการอ่านตะพึด
และยังเป็นการปฏิบัติกรรมฐานภาวนาชนิดหนึ่งอยู่ในตัว
ทั้งสมาธิและปัญญา ในระดับที่คนทั่วไปจะพึงทำได้
และพร้อมกันนั้นก็เป็นศีลอยู่แล้ว
ในขณะที่มีการสังวรระวัง บังคับตัวเองให้ทำเช่นนั้น
ไม่มีโอกาสแก่การทุศีลแต่ประการใด

ยิ่งเจริญยิ่งบ้า?

ถ้าพูดว่า  "ยิ่งเจริญ  คือยิ่งบ้า"
ดูจะหา  คนเชื่อ  ได้ยากยิ่ง
เพราะต่างชอบ  ความเจริญ  ที่เกินจริง
เจริญอย่าง  ผีสิง  ยิ่งชอบกัน

โลกเจริญ  เกินขนาด  ธรรมชาติแหลก
เกิดของแปลก  แปลงโลก  ให้โศกศัลย์
ทำมนุษย์  ให้เป็นสัตว์  พิเศษพลัน
คือฆ่ากัน  ทั้งบนดิน  และใต้ดิน

ยิ่งเจริญ  ยิ่งดุเดือด  ด้วยเลือดอาบ
ยิ่งฉลาด  ยิ่งมีบาป  กว่ายุคหิน
สร้างปัญหา  ยุ่งยาก  มากระบิล
โลกทั้งสิ้น  สุมความบ้า  ว่าความเจริญฯ

โลกอนิจจัง

ตามธรรมดา  ถ้าไม่มี  ความเปลี่ยนแปลง
มาบังแฝง  คนจะเบื่อ  จนเหลือที่
จะเป็นคน  ทนอยู่  ในโลกนี้
หนักเข้ามี  แต่อยาก  จะดับไป

ดับจากโลก  เพราะโลก  มันน่าชัง
แต่ใครบ้าง  รู้สึก  เช่นนี้ได้
เพราะโลกมี  อนิจจัง  บังเอาไว้
คนเราใช้  อนิจจัง  ขังตัวเองฯ 

นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ

หมู่นกจ้อง  มองเท่าไร  ไม่เห็นฟ้า
ถึงฝูงปลา  ก็ไม่เห็น  น้ำเย็นใส
ไส้เดือนมอง  ไม่เห็นดิน  ที่กินไป
หนอนก็ไม่  มองเห็นคูถ  ที่ดูดกิน

คนทั่วไป  ก็ไม่  มองเห็นโลก
ต้องทุกข์โศก  หงุดหงิด  อยู่นิจสิน
ส่วนชาวพุทธ  ประยุกต์ธรรม  ตามระบิล
เห็นหมดสิ้น  ทุกสิ่ง  ตามจริงเอยฯ

โลกพัฒนา

โลกพัฒนา  ที่เรียกว่า  Developed
ดูจะเพื่อ  จุดจบ  เสียมากกว่า
หรืออย่างน้อย  ให้จบเร็ว  กว่าธรรมดา
นึกแล้วพา  อนาถใจ  ใคร่ท้วงติง

เร่งพัฒนา  เหมือนเร่งฆ่า  ให้ตัวตาย
ทรัพย์ธรรมชาติ  วอดวาย  คล้ายกับวิ่ง
ผลได้มา  เฟ้อกว่า  ความเป็นจริง
จนยุ่งขิง  กันไปหมด  อดเยือกเย็น

โลกพัฒนา  วัตถุเหลือ  เหนือคุณธรรม
ไม่อิ่มหนำ  ไม่คิดเปลื้อง  พวกเรื่องเหม็น
เรื่องอวกาศ  เรื่องอาละวาด  เกินจำเป็น
ยิ่งโลดเต้น  ยิ่งสุมโศก  โลกพัฒนาฯ

เมื่อกิเลสยึดครองโลก

เมื่อกิเลส  ไหลนอง  ยึดครองโลก
มันสุดแสน  โสโครก  ที่โกรกไหล
เมื่อกระแส  ไฟตัณหา  ไหม้พาไป
ทิ้งซากไว้  ระเกะระกะ  อนิจจัง

กลับยกย่อง  ว่านั่นสิ่ง  ศิวิไลซ์
ยั่วความใคร่  เพิ่มเหยื่อ  แก่เนื้อหนัง
เป็นเครื่องล่อ  กามา  บ้าติดตัง
ทั่วโลกคลั่ง  ก็ยิ่งคล้าย  อบายภพ

ทั้งแก่เฒ่า  สาวหนุ่ม  ล้วนจมกาม
เกลียดศีลธรรม  เห็นเป็นหนาม  ระคายขบ
อาชญากรรม  ลุกลาม  สงครามครบ
ร้อนตลบ  โลกกิเลส  สังเวชจริงฯ

ทรงเปิดโลก

ครั้นตรัสรู้  ลุถึง  ความสำเร็จ
ทุกทุกลัทธิ  ขามเข็ด  กษัตริย์สนอง
โปรดทวยเทพ  ในเทวโลก  เสร็จดั่งปอง
เสด็จล่อง  ลงมา  ประชาชน

จึ่งเทวดา  มานุษย์  และอบาย
เห็นธรรมถึง  กันได้  ทุกแห่งหน
ทั้งเหนือ-ใต้  ตก-ออก  หรือล่าง-บน
กำแพงคน  คือวรรณะ  พังทลาย

จนโลกุตตร์  โลกิยา  จ่อหน้าก้น
เหลือแต่ชั้น  พวกเรา  ที่เขลาหลาย
จงเปิดโง่  ออกรับ  ระงับอาย
โลกิยะ  จะได้กลาย  เป็นโลกุตตราฯ

โลกรอดเพราะกตัญญู

อันบุคคล  กตัญญู  รู้คุณโลก
อุปโภค  บริโภค  มีให้หลาย
ข้าวหรือเกลือ  ผักหรือหญ้า  ปลาหรือไม้ฯลฯ
รู้จักใช้  อย่าทำลาย  ให้หายไป;

อนึ่งคน  ต่อคน  ทุกวันนี้
ล้วนแต่มี  คุณต่อกัน  นั้นเป็นไฉน
มองให้ดี  ดูให้เห็น  เช่นนั้นไซร้
โลกรอดได้  เพราะกตัญญู  รู้คุณกัน;

ประเทศชาติ- ศาสนา- มหากษัตริย์
รวมเป็นอัต- ตภาพไทย  ใหญ่มหันต์
รอดมาได้  เพราะรักใคร่  อย่างผูกพันธ์
เพราะกตัญ- ญูมี  ที่ใจเอย

โลกนี้พัฒนา

โลกฮึดฮัด  พัฒนา  บูชาโป๊
เพราะเผลอโง่  ทีละนิด  คิดไม่เห็น
ไม่มีใคร  ตำหนิใคร  เพราะใจเป็น
ในเชิงเช่น  เดียวกัน  ไม่ทันรู้

รัฐบาลไหน  ในโลก  สับโขกมัน
ดูจะชอบ  เหมือนกัน  ทำไก๋อยู่
พวกนักบวช  แอบหา  ภาพมาดู
คุณคงรู้    พรางศิลปโป๊  โย้ได้ไกล

ความก้าวหน้า  ทางเนื้อหนัง  อย่างนี้เอง
ครั้นพัฒนา  จบเพลง  ไม่ไปไหน
บูชาโป๊  ถึงทูนหัว  มั่วกันไป
โลกยุคใหม่  ต้องไม่โง่  หยุดโป๊ทีฯ

โลกกลียุค

โลกทุกวัน  อยู่ในขั้น  กลียุค
ที่เบิกบุก  เร็วรุด  ถึงจุดสลาย
จนสิ้นสุด  มนุษยธรรม  ด่ำอุบาย
เพราะเห็นกง  -จักรร้าย  เป็นดอกบัว

กิเลสไส-  หัวส่ง  ลงปลักกิเลส
มีความแกว่น  แสนวิเศษ  มาสุมหัว
สามารถดูด  ดึงกันไป  ใจมืดมัว
เห็นตัวตน  ที่จมกาม  ว่าความเจริญ

มองไม่เห็น  ศีลธรรม  ว่าจำเป็น
สำหรับอยู่  สุขเย็น  ควรสรรเสริญ
เกียรติ กาม กิน  บิ่นบ้า  ยิ่งกว่าเกิน
แล้วหลงเพลิน  ความบ้า  ว่าศีลธรรมฯ 

โลกนี้คืออะไรแน่?

โลกเรานี้  ที่แท้คือ  โรงละคร
ไม่ต้องสอน  แสดงถูก  ทุกวิถี
ออกโรงกัน  จริงจัง  ทั้งตาปี
ตามท่วงที  อวิชชา  จะลากคอ;

โลกนี้คือ  กรงไก่  เขาใส่ไว้
จะนำไป  แล่เนื้อ  ไม่เหลือหลอ
จิกกันเอง  ในกรง  ได้ลงคอ
เฝ้าตั้งข้อ  รบกัน  ฉันนึึกกลัว-เอยฯ