หัวข้อธรรมประเภทนี้ มีไว้สำหรับใช้เพ่ง
เพื่อให้เห็น ข้อเท็จจริงแห่งข้อความนั้น
แล้วเพ่งต่อไป เพื่อให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้น ขึ้นมาจริงๆ
จนจิตใจเปลี่ยนไป ตามข้อเท็จจริงนั้น
ในการที่จะทำให้เกิด ความสลดสังเวช ความไม่ประมาท
การเปลี่ยนนิสัยที่ไม่พึงปราถนา
กวาดล้า่งความรู้สึก ที่ทำความรำคาญให้แก่ตน ให้หมดไปจากจิตใจ
เพื่อให้เกิดความสะอาด ความสว่างและความสงบ
โดยสมควรแก่การกระทำของตน
ความรู้ความเข้าใจ ที่เกิดจากการเพ่งทำนองนี้ จะถูกต้อง
และมีประโยชน์กว่าที่เกิดจากการอ่านตะพึด
และยังเป็นการปฏิบัติกรรมฐานภาวนาชนิดหนึ่งอยู่ในตัว
ทั้งสมาธิและปัญญา ในระดับที่คนทั่วไปจะพึงทำได้
และพร้อมกันนั้นก็เป็นศีลอยู่แล้ว
ในขณะที่มีการสังวรระวัง บังคับตัวเองให้ทำเช่นนั้น
ไม่มีโอกาสแก่การทุศีลแต่ประการใด

ใครอยู่ระดับไหน?

ตอนแรกๆ  เด็กๆ  มันก็อยากดี
ล่วงมาไม่กี่ปีก็กลาย  เป็นอยากดัง
ใครตักเตือนก็ไม่ฟัง  มันอยากเด่น
ไม่แคร์ใครจะเขม่น  มันอยากโด่ง
เริ่มรู้จักคดโกง  มันอยากดื้อ
ต่อมาไม่กี่มื้อ  มันอยากโดด
พระเจ้าไม่โปรด  มันต้องอยากดับ

มีมาร-ไม่มีมาร

มารไม่มี  บารมี  ยิ่งไม่แก่
จะมีแต่  ถอยถด  หมดความหมาย
ไม่มีพลัง  สร้างวิบาก  ไว้มากมาย
หรือสอบไล่  ให้เรา  เข้าใจตัวฯ

มารยิ่งมี  บารมี  ยิ่งแก่กล้า
ยิ่งรุดหน้า  สามารถ  ในธรรมทั่ว
สร้างวิบาก  ได้มากมาย  ในเนียนัว
ให้ดอกบัว  เบ่งบาน  สะท้านสะเทือนฯ

แล้วประหัต  ประหารมารร้าย  ให้ตายเตียน
ได้แนบเนียน  ไม่มี  อะไรเหมือน
เมื่อมารมี  ก็เหมือนมาร  มาตักเตือน
ให้พบเงื่อน  งำกล้า  ฆ่ามารเองฯ

มัวแต่สร้างมาร

มารจะมี  เมื่ออยากดี  หรืออยากได้
แม้ความตาย  ก็ยังมี  พิลึกเหลือ
เพราะความยึด  แห่งตัวฉัน  มันเหลือเฟือ
ไม่มีเรื้อ  เรื่องความอยาก  มากประการ

ถ้าไม่อยาก  ได้อะไร  เป็นอะไร
มารจะมี  ได้ไฉน  ลองกล่าวขาน
อย่าอยากอะไร  ที่เป็นไป  ด้วยอัญญาณ
จะไม่เกิด  มีมาร  ขึ้นมาเลย

คิดพูดทำ  ทุกอย่าง  ด้วยปัญญา
ไม่ต้องมี  ตัณหา  หนาท่านเอ๋ย
อย่ามีอยาก  จะเย็นดี  กว่าที่เคย
มารไหนเว้ย  จะเกิดได้  ไม่เห็นทางฯ

นายเหนือหัว

นายของตน  คนที่หนึ่ง  คือท้องปาก
ยามท่านอยาก  ท่านเรียกร้อง  ต้องรีบหา
มาป้อนท่าน  ให้ทัน  แก่เวลา
ท่านชื่อว่า  “นายกิน”  เก่งสิ้นดี

นายของตน  คนที่สอง  คือเนื้อหนัง
ท่านไม่ฟัง  เสียงใคร  ใฝ่เสียดสี
แต่ในเรื่อง  นุ่มเนื้อ  เหยื่อโลกีย์
ชื่อท่านมี  ว่า “นายกาม”  ตะกลามจริง

นายของตน  คนที่สาม  คือหูหัว
เฝ้ายกตัว  เรื่อยไป  คล้ายผีสิง
ทั้งยกหาง  แกว่งไกว  ไวกว่าลิง
มีชื่อพริ้ง  ว่า “นายเกียรติ”  ใครเกลียดเอยฯ

ความโง่ของปัญญา

ลูกอ่อน  กลืนสตางค์  ค้างติดคอ
นางแม่หล่อ  น้ำกรดตรง  ลงแก้ไข
ว่าละลาย  โลหะหมด  แล้วปลอดภัย
ผลอย่างไร  เชื่อว่าทาย  ได้ด้วยกัน

นี้แหละหนา  ปัญญา  มาพรวดพราด
เพราะสติ  มันขาด  ก็ผวนผัน
กลายเป็นโง่  ในปัญญา  ขึ้นมาพลัน
ถ้าสติ  มาทันควัน  นั้นปลอดภัย

ความโง่มี  ในปัญญา  ถ้าขาดสติ
มันอุตริ  ออกมา  อย่าสงสัย
ฆ่าเจ้าของ  ของมัน  ได้บรรลัย
มีสติไว้  หนอ, พวกที่  มีปัญญาฯ

บุญหรือพระนิพพาน, เชิญเลือก

ชรารุก  ชีพทุกวัน  จึ่งสั้นไป
หาไม่ได้  เครื่องต้านต่อ  ข้อนั้นหนา;
เมื่อเพ่งเห็น  ภัยร้าย  ในมรณา
รีบสถา-  ปนาบุญ  หนุนสุขไว้ฯ
(ของเทวดา)

ชรารุก  ชีพทุกวัน  จึ่งสั้นเป็น
หาให้เห็น  เครื่องต้านต่อ  ข้อนั้น; ให้
ผู้เพ่งเห็น  ภัยทราม  ในความตาย
จุ่งคืนคาย  เหยื่อล่อ  พอใจนิพพาน
(ของพระพุทธองค์)

ถ้าสตรีดื่มเหล้า

ถ้าสตรี  กินเหล่า  เข้าเรื่อง “บ้า”
ไม่รูว่า  กินทำไม  กินไปได้
หรืออยากเป็น  กินนรี  ที่ไวไฟ
ยิ้มละไม  อยู่เพราะเหล่า:  ผีเข้าทรง

ดัดจริต  ตามใคร  บอกไม่ถูก
เพราะปีศาจ  จูงจมูก  ให้ลุ่มหลง
เห็นผีเป็น  เทวดา  ดูน่างง
โลกก็ส่ง  ตามแต่  แม่ผีตวง

ยิ่งลูกผี  มีแต่  จะเมาใหญ่
มีอะไร  ก็ต้องเหล้า  เผ้ายึดหน่วง
พอขาดเหล้า  ร้อนเร่า  เสียเต็มทรวง
โลกทั้งปวง  เป็นโลกเหล้า  น่าเศร้าจริง

ถ้า “สตรี”  คำนี้มา  จาก “สตี”
ก็แปลว่า  “คนผู้มี  สติยิ่ง”
ไม่ควรไป  หลงเหล้า  เข้าเรื่องลิง
ควรจะหยิ่ง  ธรรมแท้  ของแม่เอยฯ

สูบบุหรี่?

สูบบุหรี่  มีแต่  จะคอยบั่น-
ทอนอายุ  ให้สั้น  นั้นแน่ๆ

กำลังจิต  ถูกตัดรอน  ให้อ่อนแอ
เพราะต้องแพ้  แก่ความเงี่ยน  ราบเตียนไป

ต้องเสียทรัพย์  บุหรี่ดี  ยิ่งมีค่า
เดือนกว่าๆ  เงินร้อยๆ  พลอยกษัย

น้ำเสียงเครือ  ครอแคร  เหม็นแย่ไป
เอาควันไฟ  รมปอด  ยอดอันธพาล

เป็นผู้ใหญ่  นำเด็กให้  สูบบุหรี่
ให้พวกผี  หัวเคาะคน  ควรสงสาร

แล้วเกิดมา  ทำไมกัน  มันป่วยการ
หลงล้างผลาญ  ตัวเอง  เก่งสุดใจฯ

ยิ่งตรงยิ่งคดลึก

ยิ่งจะให้  ตรงมาก  ยิ่งคดลึก
เป็นข้าศึก  เร้นลับ  กลับร้ายใหญ่
อยากจะตรง  เพราะอยากดี  อยากมีชัย
มันตรงอยู่  เมื่อไร?  ใครคิดดู

อวดว่าตรง  ตามเขาว่า  น่าสรรเสริญ
ยังตรงเกิน  ต้องนอนจม  พยศอยู่
ที่อยากตรง  เพื่อให้ใคร  เขาอุ้มชู
ไว้ให้หนู  เด็กๆเขา  เราโตครัน

จิตที่แจ่ม  จนปล่อย  เสียได้หมด
ทั้งตรง-คด  ไม่เห็น  เป็นแผกผัน
พ้นคด-ตรง  จนไม่หลง  ในเรามัน
จะสุทธิ์สันติ์  พ้นโลก  หมดโยกเอยฯ

อาจารย์ไก่

ถ้าคนเรา  เปรียบกับไก่  ดูให้ดี
มันไม่มี  นอนไม่หลับ  ไม่ปวดหัว
ไม่มีโรค  ประสาท  ประจำตัว
โรคจิตไม่  มากลั้ว  กับไก่น้อย

คนในโลก  กินยา  เป็นตัน ๆ
พวกไก่มัน  ไม่ต้องกิน  สักเท่าก้อย
หลับสนิท  จิตสบาย  ร้อยทั้งร้อย
รู้สึกน้อย  แห่งน้ำใจ  อายไก่เวย

ได้เป็นคน  หรือจึงได้   นอนไม่หลับ
ควรจะนับ  ว่าเป็นบาป  หรือบุญเหวย
มีธรรมะ  กันเสียนะ  อย่าละเลย
อยู่เสบย  ไม่ละอาย  แก่ไก่มัน

ได้ดีเพราะถูกด่า

ฉันมีดี  เพราะถูกด่า  น่าหัวไหม
ยิ่งดีใจ  เพราะถูกด่า  ดูน่าหัว
ใครจะด่า  สักเท่าไร  ไม่เคยกลัว
เรื่องจะชั่ว  อย่างเขาด่า  นั้นอย่าเกรง

ใครมีดี  คนด็คิด  ริษยา
หาแง่ด่า  กันโขมง  ล้วนโฉงเฉง
เมื่อยปากเข้า  ปากก็มุบ  หุบปากเอง
ยิ่งครื้นเครง  คือฉันท้า  ให้ด่าฟรี

ฉันเป็นคน  ได้ดี  เพราะคำด่า
กลายเป็นสิ่ง  นำมา  ซึ่งศักดิ์ศรี
ด่าเท่าไร  ก็เห็นไม่  จริงสักที
เลยได้ดี  เพราะถูกด่า  น่าหัวครันฯ

ให้เขาเถิด

เขาอยากดี  เท่าไร  ให้เขาเถิด
ไม่ต้องเกิด  แข่งดี  มีแต่เสีย
ริษยา   คือทุรกรรม ทำให้เพลีย
ทั้งลูกเมีย  พลอยลำบาก  มันมากความ

เขาอยากเด่น  เท่าไร  ให้เขาเถิด
จะไม่เกิด  กรรมกะลี  ที่ซ่ำสาม
มุฑิตา  สาธุกรรม  ทำให้งาม
สมานความ  รักใคร่  เป็นไมตรี

เขาอยากดัง  เท่าไร  ให้เขาเถิด
ช่วยชูเชิด  ให้ประจักษ์  ด้วยศักดิ์ศรี
ให้ดังก้อง  ท้องฟ้า  อย่างอสนี
ต่างฝ่ายมี  ผลงาม  ตามเรื่องตนฯ

ชั่วในดี

ส่วนที่ชั่ว  มีกลั้ว  อยู่ในดี
คือดีมี  เลศยั่ว  ให้มัวหลง
ไม่ค่อยสอน  ไม่ค่อยเตือน  อาจเฟือนลง
สอนไม่ลึก  สอนไม่ตรง  จึ่งหลงดี

ยั่วให้หลง  ในดี-ดี  เป็นผีบ้า
ไม่นานหนอ  ต่อมา  ก็สิ้นศรี
ดีมันสอน  ไม่ค่อยจะ  ถูกวิธี
ยึดมั่น “ดี”  แล้วยิ่งยาก  จะจากวาง

ยิ่งมีดี  ก็ยิ่งมี  คนรบกวน
หลายกระบวน  หลายวิธี  ไม่มีสร้าง
พวกริษยา  ก็หาช่อง  จ้องจิตล้าง
มองดูบ้าง  ชั่วในดี  มีอยู่เน้อฯ

ดีในชั่ว

ส่วนที่ดี  มีซ่อน  อยู่ในชั่ว
ซึ่งสอนให้  เต็มตัว  ไม่ยั้งท่า
มันสอนอย่าง  เจ็บช้ำ  เป็นธรรมดา
แต่มันสอน  ลึกกว่า  เมื่อได้ดี

ชั่วมันสอน  มากกว่า  หรือจริงกว่า
มันสอนได้  ดีกว่า  ความสุขศรี
สอนดีกว่า  ให้กลับตน  จนถูกวิธี
เกลียดกลัวชั่ว  กว่าก่อนนี้  ดีอย่างจริง

ให้ศรัทธา  วิ่งหา  พระศาสนา
เรียนสิกขา  ภาวนา  เป็นอย่างยิ่ง
สัตว์นรก  หมกอยู่  ยังรู้ติง
ตัวของตัว เ พราะชั่วสิง  สอนรุนแรงฯ

เผาตัวเอง

ร้ายอะไร  ไม่ร้ายเท่า  จะเอาดี
เป็นธุลี  จับจิต  เกิดริษยา
ชิงดีแล้ว  อวดเด่น  เห็นออกมา
ตัวกูจ้า  บ้าคลั่ง  สังเวชใจ

สร้างนรก  เป็นที่อยู่  เพราะเหตุนี้
"ตัวกูดี,  ตัวกูเด่น"  เห็นหรือไม่?
กลัวหมดดี  จุดจี้  ให้เกิดไฟ
"เผาตัวเอง"  ต่อไป  เศร้าใจเอยฯ

ความอยาก

อันความอยาก  จะระงับ  ดับลงได้
นั้นมิใช่  เพราะเรา  ตามสนอง
สิ่งที่อยาก  ให้ทัน  ดั่งมันปอง
แต่เพราะต้อง  ฆ่ามัน  ให้บรรลัย

ให้ปัญญา  บงการ  แทนร่านอยาก
ความร้อนไม่  มีมาก  อย่าสงสัย
ทั้งอาจผลิต  กิจการ  งานใดๆ
ให้ล่วงไป  ด้วยดี  มีสุขเย็นฯ

ความสุข

ความเอ๋ย  ความสุข
ใครๆทุก  คนชอบเจ้า  เฝ้าวิ่งหา
"แกก็สุข  ฉันก็สุข  ทุกเวลา"
แต่ดูหน้า  ตาแห้ง  ยังแคลงใจ

ถ้าเราเผา  ตัวตัณหา  ก็น่าจะสุข
ถ้ามันเผา  เราก็ "สุก"  หรือเกรียมได้
เขาว่าสุข  สุขเน้อ!  อย่าเห่อไป
มันสุขเย็น  หรือสุกไหม้  ให้แน่เอยฯ

ยิ่งเจริญยิ่งบ้า?

ถ้าพูดว่า  "ยิ่งเจริญ  คือยิ่งบ้า"
ดูจะหา  คนเชื่อ  ได้ยากยิ่ง
เพราะต่างชอบ  ความเจริญ  ที่เกินจริง
เจริญอย่าง  ผีสิง  ยิ่งชอบกัน

โลกเจริญ  เกินขนาด  ธรรมชาติแหลก
เกิดของแปลก  แปลงโลก  ให้โศกศัลย์
ทำมนุษย์  ให้เป็นสัตว์  พิเศษพลัน
คือฆ่ากัน  ทั้งบนดิน  และใต้ดิน

ยิ่งเจริญ  ยิ่งดุเดือด  ด้วยเลือดอาบ
ยิ่งฉลาด  ยิ่งมีบาป  กว่ายุคหิน
สร้างปัญหา  ยุ่งยาก  มากระบิล
โลกทั้งสิ้น  สุมความบ้า  ว่าความเจริญฯ

โลกอนิจจัง

ตามธรรมดา  ถ้าไม่มี  ความเปลี่ยนแปลง
มาบังแฝง  คนจะเบื่อ  จนเหลือที่
จะเป็นคน  ทนอยู่  ในโลกนี้
หนักเข้ามี  แต่อยาก  จะดับไป

ดับจากโลก  เพราะโลก  มันน่าชัง
แต่ใครบ้าง  รู้สึก  เช่นนี้ได้
เพราะโลกมี  อนิจจัง  บังเอาไว้
คนเราใช้  อนิจจัง  ขังตัวเองฯ 

นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ

หมู่นกจ้อง  มองเท่าไร  ไม่เห็นฟ้า
ถึงฝูงปลา  ก็ไม่เห็น  น้ำเย็นใส
ไส้เดือนมอง  ไม่เห็นดิน  ที่กินไป
หนอนก็ไม่  มองเห็นคูถ  ที่ดูดกิน

คนทั่วไป  ก็ไม่  มองเห็นโลก
ต้องทุกข์โศก  หงุดหงิด  อยู่นิจสิน
ส่วนชาวพุทธ  ประยุกต์ธรรม  ตามระบิล
เห็นหมดสิ้น  ทุกสิ่ง  ตามจริงเอยฯ

โลกพัฒนา

โลกพัฒนา  ที่เรียกว่า  Developed
ดูจะเพื่อ  จุดจบ  เสียมากกว่า
หรืออย่างน้อย  ให้จบเร็ว  กว่าธรรมดา
นึกแล้วพา  อนาถใจ  ใคร่ท้วงติง

เร่งพัฒนา  เหมือนเร่งฆ่า  ให้ตัวตาย
ทรัพย์ธรรมชาติ  วอดวาย  คล้ายกับวิ่ง
ผลได้มา  เฟ้อกว่า  ความเป็นจริง
จนยุ่งขิง  กันไปหมด  อดเยือกเย็น

โลกพัฒนา  วัตถุเหลือ  เหนือคุณธรรม
ไม่อิ่มหนำ  ไม่คิดเปลื้อง  พวกเรื่องเหม็น
เรื่องอวกาศ  เรื่องอาละวาด  เกินจำเป็น
ยิ่งโลดเต้น  ยิ่งสุมโศก  โลกพัฒนาฯ

เมื่อกิเลสยึดครองโลก

เมื่อกิเลส  ไหลนอง  ยึดครองโลก
มันสุดแสน  โสโครก  ที่โกรกไหล
เมื่อกระแส  ไฟตัณหา  ไหม้พาไป
ทิ้งซากไว้  ระเกะระกะ  อนิจจัง

กลับยกย่อง  ว่านั่นสิ่ง  ศิวิไลซ์
ยั่วความใคร่  เพิ่มเหยื่อ  แก่เนื้อหนัง
เป็นเครื่องล่อ  กามา  บ้าติดตัง
ทั่วโลกคลั่ง  ก็ยิ่งคล้าย  อบายภพ

ทั้งแก่เฒ่า  สาวหนุ่ม  ล้วนจมกาม
เกลียดศีลธรรม  เห็นเป็นหนาม  ระคายขบ
อาชญากรรม  ลุกลาม  สงครามครบ
ร้อนตลบ  โลกกิเลส  สังเวชจริงฯ

ทรงเปิดโลก

ครั้นตรัสรู้  ลุถึง  ความสำเร็จ
ทุกทุกลัทธิ  ขามเข็ด  กษัตริย์สนอง
โปรดทวยเทพ  ในเทวโลก  เสร็จดั่งปอง
เสด็จล่อง  ลงมา  ประชาชน

จึ่งเทวดา  มานุษย์  และอบาย
เห็นธรรมถึง  กันได้  ทุกแห่งหน
ทั้งเหนือ-ใต้  ตก-ออก  หรือล่าง-บน
กำแพงคน  คือวรรณะ  พังทลาย

จนโลกุตตร์  โลกิยา  จ่อหน้าก้น
เหลือแต่ชั้น  พวกเรา  ที่เขลาหลาย
จงเปิดโง่  ออกรับ  ระงับอาย
โลกิยะ  จะได้กลาย  เป็นโลกุตตราฯ

โลกรอดเพราะกตัญญู

อันบุคคล  กตัญญู  รู้คุณโลก
อุปโภค  บริโภค  มีให้หลาย
ข้าวหรือเกลือ  ผักหรือหญ้า  ปลาหรือไม้ฯลฯ
รู้จักใช้  อย่าทำลาย  ให้หายไป;

อนึ่งคน  ต่อคน  ทุกวันนี้
ล้วนแต่มี  คุณต่อกัน  นั้นเป็นไฉน
มองให้ดี  ดูให้เห็น  เช่นนั้นไซร้
โลกรอดได้  เพราะกตัญญู  รู้คุณกัน;

ประเทศชาติ- ศาสนา- มหากษัตริย์
รวมเป็นอัต- ตภาพไทย  ใหญ่มหันต์
รอดมาได้  เพราะรักใคร่  อย่างผูกพันธ์
เพราะกตัญ- ญูมี  ที่ใจเอย

โลกนี้พัฒนา

โลกฮึดฮัด  พัฒนา  บูชาโป๊
เพราะเผลอโง่  ทีละนิด  คิดไม่เห็น
ไม่มีใคร  ตำหนิใคร  เพราะใจเป็น
ในเชิงเช่น  เดียวกัน  ไม่ทันรู้

รัฐบาลไหน  ในโลก  สับโขกมัน
ดูจะชอบ  เหมือนกัน  ทำไก๋อยู่
พวกนักบวช  แอบหา  ภาพมาดู
คุณคงรู้    พรางศิลปโป๊  โย้ได้ไกล

ความก้าวหน้า  ทางเนื้อหนัง  อย่างนี้เอง
ครั้นพัฒนา  จบเพลง  ไม่ไปไหน
บูชาโป๊  ถึงทูนหัว  มั่วกันไป
โลกยุคใหม่  ต้องไม่โง่  หยุดโป๊ทีฯ

โลกกลียุค

โลกทุกวัน  อยู่ในขั้น  กลียุค
ที่เบิกบุก  เร็วรุด  ถึงจุดสลาย
จนสิ้นสุด  มนุษยธรรม  ด่ำอุบาย
เพราะเห็นกง  -จักรร้าย  เป็นดอกบัว

กิเลสไส-  หัวส่ง  ลงปลักกิเลส
มีความแกว่น  แสนวิเศษ  มาสุมหัว
สามารถดูด  ดึงกันไป  ใจมืดมัว
เห็นตัวตน  ที่จมกาม  ว่าความเจริญ

มองไม่เห็น  ศีลธรรม  ว่าจำเป็น
สำหรับอยู่  สุขเย็น  ควรสรรเสริญ
เกียรติ กาม กิน  บิ่นบ้า  ยิ่งกว่าเกิน
แล้วหลงเพลิน  ความบ้า  ว่าศีลธรรมฯ 

โลกนี้คืออะไรแน่?

โลกเรานี้  ที่แท้คือ  โรงละคร
ไม่ต้องสอน  แสดงถูก  ทุกวิถี
ออกโรงกัน  จริงจัง  ทั้งตาปี
ตามท่วงที  อวิชชา  จะลากคอ;

โลกนี้คือ  กรงไก่  เขาใส่ไว้
จะนำไป  แล่เนื้อ  ไม่เหลือหลอ
จิกกันเอง  ในกรง  ได้ลงคอ
เฝ้าตั้งข้อ  รบกัน  ฉันนึึกกลัว-เอยฯ

มองฟ้าปะดิน

แรกมองฟ้า  ก็เห็นว่าง  อย่างเขาว่า
ไม่เห็นพวก  เทวดา  คลาสวรรค์
ยิ่งมองไป  ยิ่งว่างมา  สารพัน
จิตใจมั่น  ยิ่งเห็นว่าง  อย่างสุดใจ

กลับได้เห็น  สาระหนึ่ง  ซึ่งความว่าง
มอบให้อย่าง  แก่นสาร  ปานดินใหม่
เป็นแผ่นดิน  เย็นและหยุด  กว่าจุดใด
ทรงคุณใหญ่  เรียก  "อมตะ  มหานคร"

เป็นที่ตั้ง  เย็นสนิท  แห่งจิตว่าง
กิเลสสร้าง  ทุกข์หาย  ไร้โศกศร
เป็นแดนดิน  ที่คงมั่น  นิรันดร
นี่แลตอน  ที่มองฟ้า  แล้วปะดินฯ

เมื่อมองดินเห็นฟ้า

เมื่อมองดิน  เห็นฟ้า  นิจจาเอย
มองเห็นฟ้า  ดินใหญ่  กระไรเลย
ฉันจะเอ่ย  ฟังดูหนา  บ้าหรือดี?

คือมองโลก  เห็นว่าง  จากอัตตา
ว่างจากอัต-  ตนียา  อย่างเต็มที่
มันว่างจริง  ยิ่งกว่าฟ้า  เพราะว่ามี
สิ่งหนึ่งที่  เรียกมหา-  สุญญตา

ครั้นมองดู  โลกว่าง  อย่างแท้จริง
ก็เห็นสิ่ง  ที่เรียก  ว่ามหา-
อมฤต  นคร  ซ้อนอยู่นา
นี้เรียกว่า  มองฟ้า  แล้วปะดิน

คิดดูเถิด  บ้าหรือดี  มีให้ดู
ถ้าไม่เห็น  อย่าเพ่อจู่  มาติฉิน
ถ้าจะมั่ว  อยู่ที่เห็น  ดินเป็นดิน
ก็ดูดกิน  มันไป  เป็นไส้เดือนฯ

ตาบอด-ตาดี

หมู่นกจ้อง  มองเท่าไร  ไม่เห็นฟ้า
ถึงฝูงปลา  ก็ไม่เห็น  น้ำเย็นใส
ไส้เดือนมอง  ไม่เห็นดิน  ที่กินไป
หนอนก็ไม่  มองเห็นคูถ  ที่ดูดกิน;

คนทั่วไป  ก็ไม่  มองเห็นโลก
ต้องทุกข์โศก  หงุดหงิด  อยู่นิจสิน
ส่วนชาวพุทธ  ประยุกต์ธรรม  ตามระบิล
เห็นหมดสิ้น  ทุกสิ่ง  ตามจริงเอยฯ

จะดูโลกแง่ไหนดี?

จงดูเถิด  โลกนี้  มีหลายแง่
ดูให้แน่  น่าสรวล  เป็นชวนหัว
หรือชวนเศร้า  โศกสลด  ถึงหดตัว
ดูให้ทั่ว  ถ้วนความ  ตามแสดง

จะดูมัน  แง่ไหน  ตามใจเถิด
แต่ให้เกิด  ปัญญา  มาเป็นแสง
ส่องทางเดิน  ชีวา  ราคาแพง
อย่าให้แพลง  พลาดพลั้ง  ระวังเอยฯ

โลกเปรียบมหาสมุทรและกรงไก่

โลกนี้เปรียบ  ปานว่า  มหาสมุทร
ปลามนุษย์  ผุดว่าย  อยู่ไหวไหว
เพราะตัณหา  หมื่นวิถี  เข้าจี้ใจ
วิ่งขวักไขว่  เหยื่อดี  มีไม่พอ!

โลกนี้คือ  กรงไก่  เขาใส่ไว้
จะนำไป  แล่เนื้อ  ไม่เหลือหลอ
จิกกันเอง  ในกรง  ได้ลงคอ
เฝ้าตั้งข้อ  รบกัน  ฉันนึกกลัว

โลกคือเครื่องลองและโรงละคร

โลกนี้คือ  เครื่องลอง  ของมารร้าย
ไว้สอบไล่  ว่าใคร  ยังหลงใหล
ว่าใครบ้า  ใครเขลา  เฝ้าจมใน
หล่มโลกใหญ่  ติดตัง  ทั้งดีชั่ว

โลกนี้  ที่แท้คือ  โรงละคร
ไม่ต้องสอน  แสดงถูก  ทุกวิถี
ออกโรงกัน  จริงจัง  ทั้งตาปี
ตามท่วงที  อวิชชา  ลากพาไป!

โลกนี้คือทางผ่านและบทเรียน

โลกนี้เหมือน  ทางผ่าน  ที่รกเลี้ยว
เพื่อทนสู้  อดเปรี้ยว  ไปกินหวาน
พ้นโลกนี้  มียิ่ง  กว่าอ้อยตาล
เมื่อพบพาน  "อมฤ-  ตโลกา!"

โลกนี้เพียง  บทเรียน  ให้เพียรอ่าน
หมั่นวิจารณ์  ตื้นลึก  รีบศึกษา
ให้รอบรู้  แจ่มจน  พ้นมายา

แล้วโลกมา  เป็นบ่าว  เราร่ำไป

โลกนี้น่าขำ

โลกนี้มี  แต่คนบ้า  ไม่น่าอยู่
จนมองดู  ให้ดีดี  มีข้อขำ
คือตัวกู  ที่เกิดอยู่  เป็นประจำ
จงกระทำ  อย่าให้เกิด  ประเสริฐแล

อย่าปล่อยให้ อารมณ์ใด  เข้ามาปรุง
เป็นจิตยุ่ง  วุ่นวาย  หลายกระแส
ว่างตัวกู  จิตก็อยู่  เหนือโลกแท้
ว่างกูแน่  ก็หยุดบ้า  น่าขำเอยฯ

โลกนี้คืออะไรแน่?

โลกนี้คือ  ถ้ำมืด  ไม่เห็นแสง
ไม่มีความ  แจ่มแจ้ง  ไม่เฉลียว
คิด-พูด-ทำ  โมหา  ไปท่าเดียว
ลองคิดเที่ยว  โลกสว่าง  ข้างหน้ากัน!

โลกนี้คือ  ร่มไม้  ได้อาศัย
บัดเดี๋ยวใจ  พักร้อน  แล้วผ่อนผัน
ออกไปสู่  โลกอื่น  อีกหมื่นพัน
ไยยึดมั่น  หมายมี  โลกนี้นาน!

โลกเปรียบศาลาให้อาศัย

โลกนี้เปรียบ  ศาลา  ให้อาศัย
ประเดี๋ยวใจ  ผ่อนพัก  แล้วจักผัน
ทางที่ดี  เมื่อพราก  ไปจากมัน
ควรสร้างสรร  ส่งเสริม  เพิ่มคะแนน

เมื่อเราได้  เกิดมา  ในอาโลก
ได้พ้นโศก  พ้นภัย  สบายแสน
จึงควรสร้าง  สิ่งชอบ  ไว้ตอบแทน
ให้เป็นแดน  ดื่มสุข  ขึ้นทุกกาล

คุณความดี  ของท่าน  กาลก่อนก่อน
ที่ท่านสอน  ไว้ประจักษ์  เป็นหลักฐาน
เราเกิดมา  อาศัย  ได้สำราญ
ควรหรือผ่าน  พ้นไป  ไม่คำนึงฯ

มองถูก ทุกข์คลาย

มองอะไร  ให้เห็น  เป็นครูสอน
มองไม้ขอน  หรือมองคน  ถ้าค้นหา
มีสิ่งสอน  เสมอกัน  มีปัญญา
จะพบว่า  ล้วนมีพิษ  อนิจจัง

จะมองทุกข์  หรือมองสุข  มองให้ดี
ว่าจะเป็น  อย่างที่  เรานึกหวัง
หรือเป็นไป  ตามปัจจัย  ให้ระวัง
อย่าคลุ้มคลั่ง  จะมองเห็น  เป็นธรรมดา

มองโดยนัย  ให้มันสอน  จะถอนโศก
มองเยกโยก  มันไม่สอน  นอนเป็นบ้า
มองไม่เป็น  จะโทษใคร  ที่ไหนมา
มองถูกท่า  ทุกข์ก็คลาย  สลายเองฯ

มอง-มอง-มอง

มองอะไร  มองให้เห็น  เป็นครูสอน
มองไม้ขอน  หรือมองคน  มองค้นหา
มองเห็นความ  เสมอกัน  มีปัญญา
มองเห็นว่า  ล้วนมีพิษ:  อนิจจัง

มองทุกข์สุข  ก็จงจ้อง  มองให้ดี
มองว่าเป็น  อย่างที่  คนเราหวัง
มองว่าเป็น  ตามปัจจัย  ให้ระวัง
มองจริงจัง  ก็จักเห็น  เป็นธรรมดา

มองโดยนัย  ที่มันสอน  จะถอนโศก
มองเยกโยก  มันไม่สอน  ร้อนเป็นบ้า
มองไม่เป็น  โทษผีสาง  นางไม้มา
มองถูกท่า  ไม่คว้าทุกข์:  มองถูกจริง!

มองแต่แง่ดีเถิด

เขามีส่วน  เลวบ้าง  ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา  ส่วนที่ดี  เขามีอยู่
เป็นประโยชน์  โลกบ้าง  ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว  อย่าไปรู้  ของเขาเลย;

จะหาคน  มีดี  โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยว  ค้นหา  สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา  หนวดเต่า  ตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคย  มองแต่ดี  มีคุณจริงฯ

การพึ่งผู้อื่น

อันพึ่งท่าน  พึ่งได้  แต่บางสิ่ง
เช่นพึ่งพิง  ผ่านเกล้า  เจ้าอยู่หัว
หรือพึ่งแรง  คนใช้  จนควายวัว
ใช่จะพ้น  พึ่งตัว  ไปเมื่อไร

ต้องทำดี  จึงเกิดมี  ที่ให้พึ่ง
ไม่มีดี  นิดหนึ่ง  พึ่งเขาไฉน?
ทำดีไป  พึ่งตัว  ของตัวไป
แล้วจะได้  ที่พึ่ง  ซึ่งถาวร

พึ่งผู้อื่น  พึ่งได้  แต่ภายนอก
ท่านเพียงแต่  กล่าวบอก  หรือพร่ำสอน
ต้องทำจริง  เพียรจริง  ทุกสิ่งตอน
นี้,จึงถอน  ตัวได้  ไม่ตกจม

จะตกจน  หรือว่าจะ  ตกนรก
ตนต้องยก  ตนเอง  ให้เหมาะสม
ตนไม่ยก,  ให้เขายก  นั้นพกลม:
จะตกหล่ม  ตายเปล่า  ไม่เข้าการฯ

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ

มิใยใคร  จะพึ่ง  ซึ่งพระเจ้า
แต่พวกเรา  ชาวพุทธ-  ศาสนา
ผู้เชื่อฟัง  โอวาท  พระศาสดา
พึ่งธรรมา  คือพึ่ง  ซึ่งตัวเอง

ประกอบกรรม  นำมา  ซึ่งโภคผล
ตั้งแต่ต้น  จนปลาย  ได้เหมาะเหม็ง
ทั้งทางโลก  ทางธรรม  ก็ยำเกรง
ถือเลบง  สร้างตัว  อยู่ทั่วกัน

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ แปล
ว่า "ตัวพึ่ง ตัว" แน่, ถ้าบิดผัน
เป็นอื่นไป  วนเวียน  พาเหียรครัน
พึ่งเขานั้น  ไม่ "หนึ่ง" เหมือนพึ่งตัวฯ

รสสวรรค์นั้นเสพติด

อันลัทธิ  นานา  น่าเวียนหัว
จงถอนตัว  ออกมา  เสียให้ห่าง
เรื่องพระเจ้า  เรื่องสวรรค์  นั้นเหมือนยาง
เป็นตังเหนียว  กั้นกาง  ดวงวิญญาณ

เป็นกรงทอง  จองจำ  จำกัดเขต
น่าทุเรศ  กลับรัก  เป็นหลักฐาน
ความหลุดพ้น  ใช่อร่อย  เช่นอ้อยตาล
ทั้งไม่ลาน  ตาพราว  ราวเพชรพลอย

รสสวรรค์  นั่นเสพติด  พิษฉมัง
ถูกกักขัง  ก็ไม่รู้  เหมือนปูหอย
อยู่แต่รู  มิได้รู้  เรื่องนกน้อย
ที่บินลอย  เวหา  ว่าปานใดฯ

การปิดทอง

การปิดทอง  ต้องหมายถึง  ความสมัคร
ประพฤติธรรม  พร้อมพรัก  ตามที่สอน
เพื่อบูชา  เต็มความรัก  ประจักษ์ตอน
ยามม้วยมรณ์  หรือยังอยู่  ดูเหมือนกัน

สุขจะเกิด  ทั่วกัน  นั้นยืนนาน
ทุกเหตุการณ์  ทุกทุกภพ  ประสบสันติ์
เพราะเหตุที่  มีธรรม  ประจำวัน
ประพฤติกัน  อย่างกะของ  ที่ต้องกิน

ผิดจากนี้  มีแต่  จะงายงม
ดูไม่สม  ตามส่วน  ที่ควรถวิล
ปิดทองนอก  ได้ความงาม  ตามระบิล
ปิดทองใน  ใจสิ้น  ความว่ายเวียนฯ

สนทนากับพระเจ้า

บางเวลา  สนทนา  กับพระเจ้า
ท่านคอยเฝ้า  ดูโลก  อันโยกไหว
ด้วยขันติ  เมตตา  ปรานีไป
เท่าไรเท่าไร  สัตว์โลก  ยังโยกโคลง

เพราะเมาจัด  ด้วยวัต-  ถุนิยม
เกิดระทม  ทุกข์ร้าย  กว่าตายโหง
ตายทั้งเป็น  เหมือนว่าเล่น  ทุกชั่วโมง
ยิ่งกว่าตาย  ใส่โลง  ซึ่งครั้งเดียว

ทำอย่างไร  ก็ยังไม่  มองเห็นทาง
จะเลิกร้าง  หมดสิ่ง  น่าหวาดเสียว
เมื่อศีลธรรม  กลับผัน  มาทันเทียว
โลกจะเกี่ยว  ก่อสุข  ยุคศรีอาริย์ฯ

สู้กับหมอน

หนุนหมอนต่ำ  นอนหงาย  สบายหนอ
ถ้าหมอนสูง  นอนหงาย  กลัวตายโหง
คือคอหัก  เผาะออกไป  ได้ใส่โลง
แต่มันโล่ง  สบายเหลือ  เมื่อนอนตะแคง

พ่อคุณเอ๋ย  จะต้องมี  สองสามหมอน
ช่างหลอกหลอน  ไปได้  หลายแขนง
แก้ลำมัน  อย่ามีมัน  ให้เหนื่อยแรง
นอนตะแคง  หรือนอนหงาย  ใช้แขนรอง

นอนแต่น้อย ไม่ตะบอย  หาความสุข
จากการนอน ไม่อยากจะลุก: เป็นโรคสมอง
ที่กิเลส  ชักนำใจ  ให้ลำพอง
จนเราต้อง  มีอะไร  ให้เกินควรฯ

เราสร้างดวง อย่าให้ดวงสร้างเรา

เราดี  ดีกว่าดวง
เพราะดีนั้นมีที่เรา, ดีกว่าที่ดวง

ทำดีนั่นแหละเราหน่วง เอาดีทั้งปวง
มาทำให้ดวง  มันดี

ดวงชั่วไม่ได้เลยนี่ ถ้าเราขยันมี
ความดีทำไว้  เป็นคุณ

อยู่ดี ตายดี เพราะบุญ ทำไว้เจือจุน
ตลอดชีวิตติดมา

ดวงดีมีอยู่อัตรา ก็เพราะเหตุว่า
เราทำดีเป็น  เห็นมั้ย?

เหตุนั้น เราท่านใดใคร ทำดีเสมอไป
ดวงดีจักมีสมบูรณ์ฯ

กรรมดี ดีกว่ามงคล

กรรมดี ดีกว่ามงคล สืบสร้าง กุศล
ดีกว่า นั่งเคล้า ของขลัง

พระเครื่อง ตะกรุด อุทกัง ปลุกเสก แสนฉมัง
คาดมั่ง แขวนมั่ง รังรุง

ขี้ขลาด หวาดกลัว หัวยุ่ง กิเลส เต็มพุง
มงคล อะไร ได้คุ้ม

อันธพาล ซื้อหา มาคุม เป็นเรื่อง อุทลุม
นอนตาย ก่ายเครื่อง รางกอง

ธรรมะ ต่างหาก เป็นของ เป็นเครื่อง คุ้มครอง
เพราะว่า  เป็นพระ องค์จริง
มีธรรม ฤามี ใครยิง ไร้ธรรม ผีสิง
ไม่ยิง ก็ตาย เกินตาย

เหตุนั้น เราท่าน หญิงชาย เร่งขวน เร่งขวาย
หาธรรม มาเป็น มงคล

กระทั่ง บรรลุ มรรคผล หมดตัว หมดตน
พ้นจาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย

บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ใจกาย อุปัทวะ ทั้งหลาย
ไม่พ้อง ไม่พาน สถานใด

เหนือโลก เหนือกรรม อำไพ กิเลสา- สวะไหน
ไม่อาจ ย่ำยี บีฑาฯ

ทำดี ดีแล้วเป็นพร

ทำดี ดีแล้ว เป็นพร ไม่ต้องอ้อนวอน
ขอพร กะใคร ให้กวน

พรที่ ให้กัน ผันผวน เป็นเหมือนลมหวน
อวลไป อวลมา อย่าหลง

พรทำ ดีเอง มั่นคง วันคืนยืนยง
ซื่อตรง ต่อผู้ รู้ทำ

อยากรวย ด้วยพร เพียรบำ-เพ็ญบุญ กุศลนำ
ให้ถูก ให้พอ ต่อตน

ทุกคน เกิดมา เป็นคน ชั่วดีมีจน
เป็นผล แห่งกรรม ทำเอง

ถือธรรม เชื่อกรรม ยำเกรง บาปชั่ว กลัวเกรง
ทำแต่ กรรมดี ทวีพรฯ

ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา

ถ้าศีลธรรม  ไม่กลับมา  โลกาวินาศ
มนุษยชาติ  จะเลวร้าย  กว่าเดรัจฉาน
มัวหลงเรื่อง กิน กาม เกียรติ  เกลียดนิพพาน
ล้วนดื้อด้าน  ไม่เหนี่ยวรั้ง  บังคับใจ

อาชญากรรม  เกิดกระหน่ำ  ลงในโลก
มีเลือดโชก  แดงฉาน  แล้วซ่านไหล
เพราะบ้ากิน  บ้ากาม  ทรามเกินไป
บ้าเกียรติก็  พอไม่ได้  ให้เมาตน

อยากครองเมือง  ครองโลก  โยกกันใหญ่
ไม่มีใคร  เมตตาใคร  ให้สับสน
ขอศีลธรรม  ได้กลับมา  พาหมู่คน
ให้ผ่านพ้น  วิกฤตการณ์  ทันเวลาฯ