หัวข้อธรรมประเภทนี้ มีไว้สำหรับใช้เพ่ง
เพื่อให้เห็น ข้อเท็จจริงแห่งข้อความนั้น
แล้วเพ่งต่อไป เพื่อให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้น ขึ้นมาจริงๆ
จนจิตใจเปลี่ยนไป ตามข้อเท็จจริงนั้น
ในการที่จะทำให้เกิด ความสลดสังเวช ความไม่ประมาท
การเปลี่ยนนิสัยที่ไม่พึงปราถนา
กวาดล้า่งความรู้สึก ที่ทำความรำคาญให้แก่ตน ให้หมดไปจากจิตใจ
เพื่อให้เกิดความสะอาด ความสว่างและความสงบ
โดยสมควรแก่การกระทำของตน
ความรู้ความเข้าใจ ที่เกิดจากการเพ่งทำนองนี้ จะถูกต้อง
และมีประโยชน์กว่าที่เกิดจากการอ่านตะพึด
และยังเป็นการปฏิบัติกรรมฐานภาวนาชนิดหนึ่งอยู่ในตัว
ทั้งสมาธิและปัญญา ในระดับที่คนทั่วไปจะพึงทำได้
และพร้อมกันนั้นก็เป็นศีลอยู่แล้ว
ในขณะที่มีการสังวรระวัง บังคับตัวเองให้ทำเช่นนั้น
ไม่มีโอกาสแก่การทุศีลแต่ประการใด

ยามไหนก็ได้

ยามจะได้ ได้ให้เป็น ไม่เป็นทุกข์
ยามจะเป็น เป็นให้ถูก ตามวิถี
ยามจะตาย ตายให้เป็น เห็นสุดดี
ถ้าอย่างนี้ ไม่มีทุกข์ ทุกวันเอยฯ

หมายเหตุ:
“ได้ให้เป็น” คืออย่าได้เพื่อเอามาเป็นตัวกูหรือของกูเหมือนที่เขาได้ๆกัน
“เป็นให้เป็น” คืออย่าเป็นด้วยรู้สึกยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานว่า กูเป็นนั่นเป็นนี่ไปตามนั้นจริงๆ แม้ที่สุดแต่การเป็นบิดามารดา;
“ตายให้เป็น” คือตายชนิดที่ไม่ตาย, แต่กลับเป็นอยู่ ตลอดกาล, และต้องเป็นการกระทำชนิดที่เรียกว่า “ตายเสียก่อนตาย” คือตายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนแต่ร่างกายแตกดับฯ

ยามจะใช้


ยามจะใช้  ใช้ให้เป็น  ไม่เป็นทุกข์
ยามจะกิน  กินให้ถูก  ตามวิถี
ยามจะถ่าย  ถ่ายให้เป็น  เห็นสุดดี
ถ้าอย่างนี้  ไม่เป็นทุกข์  ทุกวันคืนฯ

ยามจะมี


มีอะไร  มีไม่เป็น  ก็เป็นทุกข์
ถึงมีสุข  ก็ยิ่งทุกข์  เพราะสุขนั่น
ดูให้ดี  อย่าเสียที  ให้กับมัน
จะพากัน  มาเพิ่มทุกข์  ให้ทุกทีฯ

มันมีเท่านี้เอง


ต้องเวียนเกิด  เวียนตาย  ตามบุญบาป
เมื่อไรทราบ  ธรรมแท้  ไม่แปรผัน
ไม่ต้องเกิด  ไม่ต้องตาย  สบายครัน
มีเท่านั้น!  ใครหาพบ  จบกันเอยฯ

ภัทเทกรัตต์

สิ่งล่วงแล้ว  แล้วไป  อย่าใฝ่หา
ที่ไม่มา  ก็อย่าพึ่ง  คนึกหวัง
อันวันวาน  ผ่านพ้น  ไม่วนวัง
วันข้างหน้า  หรือก็ยัง  ไม่มาเลย

ผู้ใดเฟ้น  เห็นชัด  ปัจจุบัน
เรื่องนั่นนั้น  แจ่มกระจ่าง  อย่างเปิดเผย
ไม่แง่นง่อน   คลอนคลั่ง ดั่งเช่นเคย
รู้แล้วเลย  ยิ่งเร้า  ให้ก้าวไป

วันนี้เอง  เร่งกระทำ  ซึ่งหน้าที่
อันวันตาย  แม้พรุ่งนี้  ใครรู้ได้
เพราะไม่อาจ  บอกปัด  หรือผลัดไว้
ต่อความตาย  และมหา  เสนามัน

ผู้มีเพียร  เวียนเป็น  อยู่เช่นนี้
ทั้งทิพา  ราตรี  แข็งขยัน
นั่นแหละผู้  “ภัทเท-  กรัตต์” อัน

อยู่กันนิรันดร

“ทำกับฉัน  อย่างกะฉัน  นั้นยังอยู่
อยู่เป็นคู่  กันชั่วฟ้า  ดินสลาย
ทำกับฉัน  อย่างกะฉัน  นั้นไม่ตาย
ท่านทั้งหลาย  ก็อยู่กัน  นิรันดร

ทำฉันใด  จึงจะเป็น  เช่นนั้นเล่า
คือทำให้  เข้าเค้า  พระองค์สอน
สิ่งไม่ตาย  ถึงให้ได้  ทุกขั้นตอน
สิ่งม้วยมรณ์  ก็ทิ้งมัน  นั่นแลนา

สิ่งปรุงแต่ง  ใดใด  ในโลกนี้
ไม่ยินดี  ยึดมั่น  แหละท่านขา
จิตว่างไป  ไร้ “ตัวกู”  ไม่จู่มา
ไม่เห็นว่า  อะไรกัน  ที่มันตายฯ

วิธีทำไม่ให้ฉันตาย

แม้ฉันตาย  กายลับ  ไปหมดแล้ว
แต่เสียงสั่ง  ยังแจ้ว  แว่วหูสหาย
ว่าเคยพลอด  กันอย่างไร  ไม่เสื่อมคลาย
ก็เหมือนฉัน  ไม่ตาย  กายธรรมยัง

ทำกับฉัน  อย่างกะฉัน  นั้นไม่ตาย
ยังอยู่กับ  ท่านทั้งหลาย  อย่างหนหลัง
มีอะไร  มาเขี่ยไค้  ให้กันฟัง
เหมือนฉันนั่ง  ร่วมด้วย  ช่วยชี้แจง

ทำกับฉัน  อย่างกะฉัน  ไม่ตายเถิด
ย่อมจะเกิด  ผลสนอง  หลายแขนง
ทุกวันนัด  สนทนา  อย่าเลิกแล้ง
ทำให้แจ้ง  ที่สุดได้  เลิกตายกันฯ

พุทธทาสจักไม่ตาย


พุทธทาส  จักอยู่ไป  ไม่มีตาย
แม้ร่างกาย  จะดับไป  ไม่ฟังเสียง
ร่ายกายเป็น  ร่างกายไป  ไม่ลำเอียง
นั่นเป็นเพียง  สิ่งเปลี่ยนไป  ในเวลา

พุทธทาส  คงอยู่ไป  ไม่มีตาย
ถึงดีร้าย  ก็จะอยู่  คู่ศาสนา
สมกับมอบ  กายใจ  รับใช้มา
ตามบัญชา  องค์พระพุทธ  ไม่หยุดเลย

พุทธทาส  ยังอยู่ไป  ไม่มีตาย
อยู่รับใช้  เพื่อนมนุษย์  ไม่หยุดเฉย
ด้วยธรรมโฆษณ์  ตามที่วาง  ไว้อย่างเคย
โอ้เพื่อนเอ๋ย  มองเห็นไหม  อะไรตายฯ

ปริญญาจากสวนโมกข์

“ปริญญา  ตายก่อนตาย”  ใครได้รับ
เป็นอันนับ  ว่าจบสิ้น  การศึกษา
เป็นโลกุตตร์  หลุดพ้น  เหนือโลกา
หยุดเวียนว่าย  สิ้นสังสา-  รวัฏฏ์วน

ปริญญา  แสนสงวน  จากสวนโมกข์
คนเขาว่า  เยกโยก  ไม่เห็นหน
ไม่เห็นดี  ที่ตรงไหน  ใครสัปดน
รับเอามา  ด่าป่น  กันทั้งเมือง

นี่แหละหนา  ปริญญา  “ตายก่อนตาย”
คนทั้งหลาย  มองดู  ไม่รู้เรื่อง
เขาอยากอยู่  ให้เด่นดัง  มลังเมลือง
เขาเลยเคือง  ว่าเราชวน  ให้ด่วนตายฯ

ชีวิตนี้คืออะไรกัน

ชีวิตนี้  คืออะไรกัน?  ฉันคิดว่า
เป็นความบ้า  ของธรรมชาติ  ประหลาดขัน
ปรุงแต่งธาตุ  แห่งกายใจ  ไหลเป็นควัน
เป็นธาตุความ  อร่อยชั้น  สัญชาตญาณ

ชีวิตนี้  มีทำไมกัน?  ฉันเห็นว่า
เพื่อความบ้า  ถึงที่สุด  สิ้นสงสาร
สงบกาย  ใจเย็น  เป็นนิพพาน
อวสานแห่ง  ความไหล  ไม่มีควัน

ชีวิตนี้  ทำอย่างไรกัน?  ฉันถือว่า
ต้องหยุดบ้า  ในอร่อย  คอยผ่อนผัน
ตามองค์มรรค  แปดประการ  ประสานกัน
ทุกคืนวัน  ให้ถูกต้อง  คลองสัมมาฯ

บางนาทีท่านมีมัน

รสอะไร  ไม่ประเสริฐ  หรือสุทธิศานติ์
ยิ่งไปกว่า  รสของการ  ไม่ต้องได้
ไม่ต้องเป็น  ไม่ต้องอยู่  ไม่ต้องตาย
ไม่กระหาย  ไม่สงสัย  ไม่กังวล

ไม่หวั่นไหว  ไม่ถือ  ร้ายหรือดี
ไม่ถวิล  หวังที่  มันสับสน
เช่นจวนได้  หรือจะได้  แต่กลายวน
เป็นไม่แน่  ว่าตน  จะได้มัน

รสความว่าง  อิ่มโอชะ  ตลอดกาล
เป็นสัมปราย-  โวหาร  พระอรหันต์
ดูให้ดี  บางนาที  ท่านมีมัน
แต่ว่าท่่าน  ดูไม่ดี  ไม่มีเอยฯ

ต้นสนเฒ่า

 เมื่อมันยัง  ไม่ได้  เป็นพุทธะ
ต้นสนเฒ่า  ก็ยังจะ  อืดอาดฝัน
เอื่อยๆไป  ได้สนุก  ทุกคืนวัน
พอเหมาะครัน  เป็นพุทธได้  ในพริบตา.
มนุษย์เรา  เบาความ  ยามสบาย
ก็ไม่ใฝ่  ฝึกธรรม  ตามวาสนา
จนแก่เฒ่า  เข้าเขตของ  มรณา
ก็พะว้า  พะวังวาย  ตายเปล่าเอยฯ

รสแห่งความเปลี่ยนแปลง

สันดานจิต ชอบเวียน เปลี่ยนเสมอ
มันเฝ้าเพ้อ หาใหม่ ใฝ่กระสัน
จะเปลี่ยนรส, เปลี่ยนที่, เปลี่ยนสิ่งอัน
แวดล้อมมัน, เปลี่ยนเวลา เปลี่ยนอารมณ์

รสของความ เปลี่ยนแปลง แฝงเจืออยู่
จึงได้ดู เป็นรส ที่เหมาะสม
เป็นรสแห่ง อนิจจัง ช่างลับลม
ไม่รู้ถึง จึ่งงม ว่าเลิศดีฯ

คาถาดับสังขาร


สิ่งปรุงแต่ง ทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ
มันเกิดก่อ ตามหน้าที่ มีสังขาร
แล้วก็ดับ เป็นธรรมดา ตามอาการ
ไม่อยู่นาน มันเป็น เช่นนี้แล

สังขารกลุ่ม นี้หนอ ก็เหมือนกัน
จะสิ้นสุด ลงในวัน นี้เป็นแน่
ไม่มีใคร เกิดหรือตาย มีได้แต่
สังขารแท้ๆ มันจะดับ โดยธรรมดา

ความสงบ มีเพราะดับ แห่งสังขาร
มันดับเย็น เป็นนิพพาน สิ้นสังสาร์
นามรูปนี้ ดับวันนี้ เป็นกิริยา
ไม่มีเชื้อ กลับมา เกิดอีกแลฯ

ดับสังขาร


อนิจฺจา วต สงฺขารา
"สิ่งที่เหตุ ปรุงขึ้นมา ไม่เที่ยงหนอ!"
อุปาท วยธมฺมิโน; พอ
เกิดแล้วก็ แปรไป เป็นธรรมดา

อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ
มันเกิด,ผลิ แล้วก็ดับ ลับต่อหน้า
เป็นเช่นนี้ เวียนวัฏฏ์ อยู่อัตรา
ใครจะว่า วอนอย่างไร ไม่ฟังกัน

เดสํ วูปสโม สุโข; แปล
ว่าสุขแท้ คือสงบการ ปรุงแต่งนั่น
ไม่ปรุงแต่ง ตัวตนอะไร สักสิ่งอัน
ชีวิตดับ หรือไม่นั้น ไม่เป็นประมาณฯ

หนทางชนะตาย


ลองอยากตาย ใจสบาย บอกไม่ถูก
ไม่ต้องหนาว ถึงกระดูก นะสหาย
มีแต่ครื้น- เครงใจ อยู่ไม่วาย
ไม่เห็นเป็น ภัยร้าย ในมรณา

สมัครตาย ยิ่งสบาย ไปกว่านั้น
ไม่มีปัญ- หาเหลือ เป็นเชื้อผวา
การจะอยู่ หรือจะตาย คล้ายกันนี่หว่า
ความชรา หรือเจ็บไข้ ไม่อาจรอ

ตายก่อนตาย ยิ่งสบาย ไปกว่าอีก
เป็นการฉีก "กู" สลาย ไม่เหลือหลอ
ทั้ง "ของกู" ไม่อาจเกิด ประเสริฐพอ
ต่อนั้นหนอ ไม่มีใคร ที่ตายเอยฯ

ตายก่อนตาย


ตายเมื่อตาย ย่อมกลาย ไปเป็นผี
ตายไม่ดี ได้เป็นที่ ผีตายโหง
ตายทำไม เพียงให้ เขาใส่โลง
ตายโอ่โถง นั้นคือตาย เสียก่อนตาย

ตายก่อนตาย มิใช่กลาย ไปเป็นผี
แต่กลายเป็น สิ่งที่ ไม่สูญหาย
ที่แท้คือ ความตาย ที่ไม่ตาย
มีความหมาย ไม่มีใคร ได้เกิดแล

คำพูดนี้ ผันผวน ชวนฉงน
เหมือนเล่นลิ้น ลาวน คนตอแหล
แต่เป็นความ จริงอัน ไม่ผันแปร
ใครคิดแก้ อรรถได้ ไม่ตายเอยฯ